ถ้า “บ้านเรา” ในที่นี่หมายถึง “ประเทศไทย”  คนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ คือ “คนไทยทุกคน”  เราเชื่อว่า ทุกคนต่างปรารถนาจะอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยความหวัง..ไม่สิ้นหวัง เพราะยังต้องส่งไม้ต่อบ้านหลังนี้ให้คนรุ่นหลัง..ลูกหลานของพวกเรา

ถ้า “จุดอ่อน” ของสังคมไทยที่อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกสิ้นหวัง ได้แก่ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การแก่งแย่ง แบ่งชนชั้นในสังคม การขาดวินัย รวมทั้งการทุจริตคอร์รัปชัน   กลับด้านกัน “จุดแข็ง” สังคมไทย ได้แก่ ความมีน้ำใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตา กตัญญู รักครอบครัว และการมีความยืดหยุ่นต่อกัน คงพอจะเป็นความหวังได้ 

เราจะแก้ปัญหาจุดอ่อนและนำจุดแข็งของสังคมไทย มาสร้าง “สังคมอยู่ดีมีสุขที่ยั่งยืน” ได้อย่างไร?

ท่ามกลางปัญหาสังคมที่มีขนาดใหญ่และหลากหลาย ทุกคนต่างรู้กันดีว่า “ทุจริตคอร์รัปชัน” เป็นตัวการทำให้เกิดทุกปัญหาในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาปากท้องและคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งที่มี 1 สิทธิ์ ใช้ 1 เสียงเลือกผู้แทนตามกฏหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะในระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น

ขณะที่งานวิชาการบอกว่า ระบอบประชาธิปไตยสัมพันธ์กับความอยู่ดีมีสุขของประชาชน ตัดภาพมาที่สังคมไทยวันนี้ ต้องยอมรับว่า ระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในบ้านเรายังพัฒนาไม่เต็มที่ มีสิ่งที่จะต้องปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่องกันอีกหลายอึดใจเพราะปัญหาเหล่านี้หยั่งรากฝังลึกมานาน ต้องใช้ความทุ่มเทจริงจังบนเงื่อนไขเวลาที่จะต้องทำทันทีอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะยากเกินเยียวยา หรือเกินกว่าจะพลิกฟื้น

ที่สำคัญ ต้องใช้ “พลังร่วม” ของคนทุกภาคส่วนในสังคม เพราะปัญหามีขนาดใหญ่ชนิดที่เรียกได้ว่า “มหาศาล” !

“การมีส่วนร่วม” ของทุกภาคส่วนในการมีบทบาทเสริมสร้าง “ความเป็นพลเมือง” ให้กับประชาชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ลองมาเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการ “ลงมือทำ” ร่วมกับ “พวกเรา” ในนาม “ภาคีเครือข่ายมหาศาล” ที่มีองค์ประกอบจากทุกภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ภาคสื่อ ฯลฯ ที่ล้วนเป็นผู้สร้างสรรค์กลไกหรือเครื่องมือแก้ปัญหาสังคมและผ่านการสร้างผลลัพธ์ในระดับที่ยังสามารถไปต่อได้ไกลๆ หากจะมี “คุณ” เป็นเพื่อนร่วมทางอีกคน !

เพราะนอกเหนือจากการมี 1 สิทธิ์ 1 เสียงผ่านกลไกการเลือกตั้งแล้ว “เพื่อนๆ” ก็จะกลายเป็นอีก “1 แรง” หรือ “1 ตัวคูณ” ในระบบนิเวศการมีส่วนร่วมต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ที่มีการจัดการตลอดห่วงโซ่อย่างเป็นระบบ และเมื่อหลอมรวมกันได้ในระดับที่มากพอจะเป็น “จุดคานงัด” ก็จะกลายเป็น “พลังสังคม" ขนาดใหญ่ถึงขั้นที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างชนิดที่ “พลิกชีวิต” ได้อย่างมหาศาลกันเลยทีเดียว

เรามาเริ่มกันเลยที่นี่ !